การกลับมาของราชันย์ BGVP Solomon
ครั้งแรกที่ได้ยินชื่อ “BGVP Solomon”
ตอนแรกที่เห็นชื่อ BGVP Solomon ปรากฏขึ้นในหน้าเพจของศูนย์ไทยอย่าง Holysai ก็ยังไม่ได้รู้สึกอะไรมากไปกว่าความสงสัย แต่สิ่งที่เตะตาทันทีคือ “หน้าตา” ของมัน
ด้วยดีไซน์เชลล์ที่ออกแบบมาอย่างพรีเมียม สีสันแบบ Sapphire Blue เล่นแสงวิบวับมีลูกเล่นในเนื้อวัสดุ ตัดกับสีทองที่สะท้อนความวาววับออกมา พอเห็นภาพแรกก็พอเดาได้ทันทีว่า นี่ไม่ใช่หูฟังธรรมดาแน่นอน มันต้องเป็นรุ่นระดับ flagship อย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ในช่วงนั้นตัวสินค้ายังไม่วางจำหน่ายจริงในตลาดไทย และรีวิวจากผู้ใช้งานก็ยังมีไม่มาก จึงยังอยู่ในโหมด “จับตาดูอยู่ห่าง ๆ” เพราะความคันยังไม่กำเริบ!! 😆
เวลาผ่านไปไม่นาน กระแสของ Solomon ก็เริ่มกลับมาอีกครั้ง คราวนี้มาในรูปแบบของ ตัวจริงเสียงจริง ที่ไปปรากฏตัวตามบูธเครื่องเสียงงานต่าง ๆ รวมถึงเริ่มมีหลายสำนักใหญ่ ๆ ทั้งสาย gadget reviewer, เกมมิ่ง, และ ออดิโอไฟล์ ออกมาพูดถึงมันอย่างจริงจัง
และนั่นแหละ… ความอยากลองก็เริ่มจุดติดขึ้นแบบไม่รู้ตัว😁
โชคดีที่วันนี้ได้โอกาสพิเศษจากทาง Holysai ส่ง Demo unit มาให้ทดลองฟังแบบเต็ม ๆ จัดว่าเป็น “บุญหู” อีกครั้ง 😆
เริ่มตั้งแต่แกะกล่อง… หรือจะเรียกให้ถูกก็คือ “แกะบับเบิ้ล” ที่ศูนย์ห่อมาแน่นหนาราวกับของล้ำค่า และของข้างในก็คู่ควรกับความระวังนั้นจริง ๆ
สิ่งแรกที่เห็นคือกล่องไม้สีน้ำเงินเข้มแบบเรียบหรู พร้อมโลโก้สีทองสะท้อนแสงตรงมุมกล่อง
และที่พิเศษกว่าคือ “เหรียญโลโก้ BGVP สีทอง” ที่ประทับอยู่ตรงรอยต่อของฝากล่อง เป็นลูกเล่นเล็ก ๆ ที่บอกชัดว่าแบรนด์นี้ใส่ใจกับงานกับดีไซน์มากๆ !!
เมื่อเปิดฝากล่องอย่างช้าๆ บานพับสีทองก็ง้างขึ้นอย่างบรรจง ก็เจอกับแพ็กเกจภายในที่ใช้สีส้มตัดกับน้ำเงินแบบจัดจ้าน โดดเด่นไม่เหมือนใคร ลุคที่ไม่ใช่แค่ดูดี แต่คือความตั้งใจในการนำเสนอ
ด้านในอัดแน่นด้วยอุปกรณ์ครบครันตามแบบฉบับหูฟังเรือธง
จุกหูฟังหลากหลายแบบ ครบทุกไซซ์
กล่องหนังสำหรับใส่หูฟัง
แปรงทำความสะอาด
สายหูฟังแบบฉนวน 2 สี ดูหรูหรา สีช่างเหมาะสมเข้ากันอย่างกับกิ่งทองใบหยก
แค่การแกะกล่องก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นเงินที่ลอยออกมาแล้วจริง ๆ ไม่ใช่เพราะแพง แต่เพราะมันถูกออกแบบมาให้ดูแพง และ เหมาะกับการเสียเงินตั้งแต่แรกเห็นอย่างที่สุด!! 😁
เมื่อได้เห็นตัวหูฟังจริง ๆ ต้องยอมรับว่า ดีไซน์มันฟ้องเลยว่านี่คือระดับเรือธง
เชลล์น้ำเงินที่เล่นแสงระยิบระยับแบบอัญมณี ขอบทองเงางามตัดขอบอย่างสง่างาม มันคือ “ราชาแห่งดีไซน์” สมกับชื่อ Solomon ทุกกระเบียดนิ้ว
สายหูฟังที่ให้มาก็เช่นกัน ฉนวนสองสีที่ดูสลับแสงสวยงามแบบไม่แย่งซีนหูฟัง กลับกลายเป็นส่วนเติมเต็มให้ดูพรีเมียมยิ่งกว่าเดิม
ขณะที่กำลังเพลิดเพลินกับความงามของเซตนี้ สายตาก็เริ่มมองหาสิ่งหนึ่งที่ใจยังคาอยู่… สายอัปเกรดในตำนานที่หลายรีวิวพูดถึงไม่หยุด นั่นคือ สาย Temple of God!!
แต่ในกล่องไม่มี 🥹
ทันทีที่รู้ว่าขาดของล้ำค่า ก็ติดต่อสอบถามไปยังศูนย์ Holysai ซึ่งก็ได้รับคำตอบอย่างรวดเร็วว่า
“ชุด demo ที่ได้รับมาไม่ได้แนบสาย Temple of God มาด้วย”
แต่ไม่ต้องห่วง เพราะภายในวันถัดไป สาย Temple ก็ถูกส่งตามมาสมความตั้งใจ
*(หมายเหตุ: รุ่นที่วางจำหน่ายจริง ณ วันที่ลงรีวิวนี้ มีสาย Temple of God แถมให้ แต่อาจจะมีจำนวนจำกัด โปรดสอบถามก่อนสั่งซื้อ)*
หลังจากเสพรีวิวไปพอสมควร ในที่สุดก็ถึงเวลาที่จะได้ลองฟัง BGVP Solomon ด้วยหูของตัวเองเสียที
แนวเสียง (กับสายเดิมในกล่อง)
ก่อนจะได้สัมผัสกับสาย Temple of God ก็ตั้งใจลองฟังเจ้า Solomon ด้วยสายสต๊อกที่ให้มาในกล่องก่อน เพื่อดูว่า “ร่างต้นแบบ” ของมันมีบุคลิกยังไง
ตั้งแต่เพลงแรกที่กดเล่น ความกว้างของเวทีเสียงก็แผ่ขยายออกมาราวกับเปิดม่านให้เห็นบรรยากาศแบบพาโนรามา ไม่ถึงกับอลังการจนโหรงเหรง แต่พอดีจนทำให้ทุกชิ้นดนตรีมีพื้นที่หายใจ และวางตำแหน่งกันอย่างเป็นระเบียบ เสียงมีมิติรอบตัวแบบที่ฟังแล้วรู้สึกโอบล้อม
เบสมาในสไตล์พอดีคำ กระชับและเก็บตัวไว ไม่บวม ไม่ย้อย จังหวะชัด น้ำหนักพอให้เพลงมีแรงขับ แต่ไม่กลบเสียงย่านอื่น ทำให้ฟังเพลงจังหวะช้าก็ยังอบอุ่น ฟังเพลงเร็วก็ยังคุมอยู่
เสียงกลางออกโทนอุ่นเล็กน้อย เหมือนมีแสงไฟสีส้มอ่อนส่องลงบนเวที เสียงร้องจึงฟังดูละมุน มีน้ำหนัก และเชื่อมโยงกับดนตรีรอบ ๆ ได้อย่างกลมกล่อม ทำให้ฟังนาน ๆ ได้โดยไม่ล้า
ส่วนเสียงแหลมมีประกายกำลังสวย เก็บรายละเอียดเล็ก ๆ ได้ชัด เช่นเสียงกระทบของสแนร์หรือปลายนิ้วแตะสายกีตาร์ ฟังแล้วมีชีวิตชีวา แต่ไม่พุ่งแหลมจนพุ่งเสียดหู เสียงทอดตัวได้พอดี ทำให้บรรยากาศโดยรวมดูโปร่งและสบายหู
เวทีเสียงของมันไม่ได้เน้นแค่ความกว้าง แต่ยังให้มิติความลึกที่ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางการแสดงของนักดนตรีจริง ๆ ทุกอย่างมีตำแหน่ง มีระยะ และไม่แย่งซีนกัน
นี่คือบุคลิกของ Solomon เวอร์ชันสายเดิม สมดุล อบอุ่นพอดี หรูหราแต่ไม่เย่อหยิ่ง และเป็นพื้นฐานที่ค่อนข้างดีมากแล้ว ก็ได้แต่แอบคิดว่า ถ้าได้สาย Temple of God จะพาเสียงของหูฟังคู่นี้ก้าวข้ามไปอีกได้ถึงขนาดไหนกันนะ?
Temple of God ปลดล็อกศักยภาพ Solomon ให้ทะลุขีด
หลังจากเปลี่ยนมาลองกับสาย Temple of God สิ่งแรกที่กระแทกความรู้สึก คือมัน “ขับง่ายขึ้น” อย่างชัดเจน เหมือนมีใครมาเติมพลังให้เสียงพุ่งออกมาเต็ม อิ่ม และมีแรงขับที่หนาแน่นขึ้นแบบรู้สึกได้ในทันที จนต้องลดระดับเเสียงลงเล็กน้อยเพื่อให้อยู่ในโซนฟังสบาย แต่ยังคงความ dynamic range กว้าง เสียงดังมีพลัง เสียงเบามีมิติ ไม่ถูกกลบ
เวทีเสียง (soundstage) เปลี่ยนจากเดิมที่ค่อนข้างกว้างโปร่ง มาเป็นเวทีเสียงโฮโลกราฟิกที่โอบล้อมรอบตัว 360 องศา
เครื่องดนตรีแต่ละชิ้นถูกจัดตำแหน่งราวกับวางด้วยมือบนผืนผ้าใบที่มองเห็นได้จริง ภาพรวมของดนตรีขยับเข้ามาใกล้ผู้ฟังมากขึ้น แต่ยังคงเว้น “ช่องว่างอากาศ” ให้หายใจ การแยกเลเยอร์ทั้งด้านกว้างและด้านลึกคมชัดขึ้น จนสามารถติดตามเสียงในแต่ละเลเยอร์ได้อย่างง่ายดาย
Resolution ของเสียงพุ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รายละเอียดเล็ก ๆ หรือ micro-details ที่เคยจมหาย เช่น เสียงนิ้วสัมผัสสายกีตาร์ หรือเสียงลมหายใจของนักร้อง ตอนนี้เด่นชัดขึ้นราวกับเปิดไฟสปอตไลต์ส่องให้เห็น texture ของเสียงเต็ม ๆ ในทุกย่านความถี่
เบสมีมวลและแรงปะทะ (impact) ที่มั่นคงกว่าเดิม ลงลึกได้ถึงย่าน sub-bass แต่ยังควบคุมตัวได้ดี ไม่บวมไม่ล้น decay ของเบสถูกเก็บให้กระชับพอดี ทำให้จังหวะกลองกระแทกแล้วหยุดคมเป็นเส้น เสียงกลางถูกดึงมาข้างหน้าเล็กน้อยจนรู้สึกว่ามีตัวตนของนักร้องอยู่ตรงหน้า เสียงร้องจึงได้โฟกัสและอารมณ์มากขึ้น ขณะที่เสียงแหลมยังคมใส มีประกาย (sparkle) แต่ไม่บาดหู และปล่อยให้ tail ของเสียงเครื่องเคาะจางหายไปอย่างเป็นธรรมชาติ
การ matching กับจุกหูฟังยิ่งช่วย fine-tune ได้ เช่น Sedna Earfit Xelastec ที่ผมลองแล้วช่วยดันเสียงร้องไห้เด่นขึ้น พร้อมเพิ่มโทนอุ่นเล็กน้อยให้เนื้อเสียง ทำให้เสียงฟังดูนุ่มนวลขึ้นโดยไม่สูญเสียความละเอียด
สรุปแล้ว Temple of God เข้าคู่กับ Solomon ได้อย่างลงตัว เหมือนปลดล็อกพลังแฝงของหูฟังออกมาเต็มที่ ทำให้ฟังแล้วเห็นทุกเลเยอร์ของดนตรีแบบครบถ้วน ทั้งมิติ เวทีเสียง รายละเอียดเล็กน้อย และความต่อเนื่องของเสียงที่สายเดิมยังไปไม่ถึง ใครที่มองหาการอัปเกรดสายเพื่อรีดประสิทธิภาพของ Solomon ตัวนี้คือหนึ่งในทางเลือกที่ควรลองด้วยหูของคุณเองจริงๆ
ยังไงซะซื้อตอนแถมสายน่าจะคุ้มสุดๆ แล้ว
สุดท้ายนี้ก็อยากฝากไว้ว่านี่เป็นเพียงมุมมองและประสบการณ์การฟังจากอุปกรณ์และรสนิยมส่วนตัวของแอดมินเท่านั้น ผลลัพธ์อาจแตกต่างไปในแต่ละคนตามชุดฟังและการรับรู้เสียงของแต่ละหู ถ้ามีส่วนไหนคลาดเคลื่อนหรือไม่ตรงกับที่เพื่อน ๆ ได้สัมผัส ก็ต้องขออภัยไว้ตรงนี้ด้วย และขอบคุณทุกคนที่สละเวลามาอ่าน หวังว่าจะได้มีโอกาสกลับมาเล่าเรื่องราวของเสียงเพลงและอุปกรณ์ดี ๆ ให้ได้ติดตามกันอีกในครั้งหน้า
ปล.สเปคไปหากันเอาเองนะครับ เดี๋ยวมันจะยืดยาวไปกว่านี้ จะน่าเบื่อเปล่าๆ อิอิ
ใส่ความเห็น